วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

Review ภาพยนต์เรื่อง Deadpool (2016)









 Deadpool (2016)

ต้องขอบคุณคลิปหลุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2014 จริง ๆ ที่ทำให้โปรเจ็คต์นี้ได้งบทำต่อจนเสร็จ อย่างไรก็ตาม Deadpool ฉบับนี้ก็ดูจะเป็นหนังคอเมดี้เรท R มากกว่าจะนับว่าเป็นหนัง Superhero ทุนต่ำ (โปรดักชั่นในหนังมันดู low budget ยิ่งกว่างบ 58 ล้านอีก) และตัว deadpool เองก็บอกว่าเขาไม่ใช่ hero แต่เป็นเพียง super mutant หรือมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังวิเศษ และภารกิจในหนังภาคนี้ก็คือการตามทวงแค้นเอาใบหน้าสุดหล่อคืนกับช่วยแฟนสาวเท่านั้นเอง
.
หนังเล่าถึง 'เวด วิลสัน' (Ryan Reynolds) อดีตทหารรับจ้างที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาตัดสินใจทำการทดลองบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นเซลล์การกลายพันธุ์จนสามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะใส่ชุด Deadpool ออกตามล่า 'ฟรานซิส' (Ed Skrein) ที่ทำให้หน้าเขาเสียโฉม
.
ลองสมมุติว่าการตลาดโปรโมท Deadpool มันเกรียนได้ระดับ 10 คะแนน เราว่าหนังจริงเกรียนออกมาได้ประมาณครึ่งเดียวเอง มุกความกวนส่วนใหญ่ถ้าไม่เรื่องใต้สะดือก็จะเป็นการเอาไฮไลท์ของหนังดังเรื่องอื่นมาให้ตัวละคร Deadpool พูดจากวน ๆ เรียกเสียงหัวเราะ ไม่ได้จำกัดแค่การกวนหนัง superhero ด้วยนะ ซึ่งเท่ากับว่ามุกตลกในหนังเรียกร้องให้ผู้ชมรู้จักหนังดังหลายเรื่องอยู่เหมือนกันถึงจะเก๊ท โดยเฉพาะพวก quote ดังจากหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องเช่น Godfather, Dredd, Notting Hill นอกนั้นก็เป็นการล้อเลียนหนัง superhero ด้วยกันเอง ซึ่งแน่นอนว่า X-Men ดูจะโดนล้อหนักหน่อยรวมถึง Green Lantern ที่ไรอัน เรย์โนลด์เคยแสดงด้วยน่ะแหละ (ส่วนตัวค่อนข้างชอบการจิกกัดล้อเลียน X-Men และ Wolverine นะ เข้าเป้าทุกเม็ดดี)
.
เส้นเรื่องของหนังเองก็แบ่งเป็นการเล่า 2 timeline คือจุดกำเนิด Deadpool และหลังจากเป็น Deadpool ซึ่งในช่วงจุดกำเนิดนั้นมีหลายช่วงน่าเบื่อด้วยความที่หนังมันลดระดับความกวนลงไปและเล่าได้ไม่ค่อยสนุกเท่าไรเมื่อเทียบกับหลังจากเป็น Deadpool ที่แม้ภารกิจของภาคนี้จะมีองก์ของฉากแอ็คชั่นแค่ที่ยิงถล่มกันบนทางด่วนและฉากปิดหนังแต่ก็ขายงานแอ็คชั่นได้งามกำลังดี ดีสำหรับการเป็นหนังคอเมดี้เรท R น่ะแหละ ไม่ต้องไปเทียบความยิ่งใหญ่กับหนัง superhero สเกลงบใหญ่โตหรอก
.
โดยรวมแล้วถ้ามอง Deadpool เป็นหนังคอเมดี้ก็ถือว่ามันก็พยายามกวนคนดูตั้งแต่นาทีแรกจนจบ คือขยันยิงมุกเข้าเป้าบ้างแป้กบ้างเก๊ทบ้างไม่เก๊ทบ้างยาว ๆ ตลอดเรื่อง ซึ่งแม้จะไม่มีมุกที่ทำให้เราหัวเราะก๊ากแต่ได้หัวเราะเบา ๆ หรืออมยิ้มก็รู้สึกว่าพอโอเคแล้วแหละ ที่สำคัญคือห้ามพลาด end credits เด็ดขาด นั่งรอยาว ๆ ได้เลยครับ คุ้มค่าแน่นอน กวนส่งท้ายได้น่ารักจริง ๆ

Director: Tim Miller
screenplay: Rhett Reese, Paul Wernick (เขียนบท Zombieland, G.I. Joe: Retaliation)

Genre: action, comedy, fantasy
7/10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น